เมนู

7. สกุลาเถรีคาถา


[445] เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเรือน ฟังธรรมของภิกษุ
แล้วได้เห็นพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมปราศจากธุลี
เป็นเครื่องถึงความสุข ไม่จุติ ข้าพเจ้าจึงละบุตรธิดา
ทรัพย์และข้าวเปลือก โกนผมบวชเป็นบรรพชิต
ข้าพเจ้าเป็นสิกขมานาอยู่1 เจริญมรรคเบื้องบน จึงละ
ราคะ โทสะ และอาสวะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ร่วมกับราคะ
โทสะนั้นได้ ข้าพเจ้าอุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว ระลึก
ชาติก่อนได้ ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ หมดมลทิน
อบรมแล้วอย่างดี ข้าพเจ้าเห็นสังขารทั้งหลายเป็น
อนัตตา เป็นของเกิดแต่เหตุ มีอันทรุดโทรมไปเป็น
สภาพ แล้วละอาสวะทั้งปวง เป็นผู้มีความเย็น ดับ
สนิทแล้ว.

จบ สกุลาเถรีคาถา
1. สิกขมานา หญิงผู้กำลังศึกษา, สามเณรีผู้มีอายุถึง 18 ปีแล้ว อีก 2 ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี
ภิกษุณีสงฆ์สวดให้สิกขาสมมติ คือตกลงให้สมาทานสิกขาบท 6 ประการ ตั้งแต่ปาณาติปาตา
เวรมณี จนถึง วิกาลโภชนา เวรมณี ให้รักษาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลย ตลอดเวลา 3 ปีเต็ม
(ถ้าล่วงข้อใดข้อหนึ่ง ต้องสมาทานตั้งต้นไปใหม่อีก 2 ปี) ครบ 2 ปี ภิกษุณีสงฆ์จึงทำพิธี
อุปสมบทให้ ขณะที่สมาทานสิกขาบท 6 ประการอย่างเคร่งครัดนี้เรียกว่า นางสิกขมานา.

7. อรรถกถาสกุลาเถรีคาถา


คาถาว่า อคารสฺมึ วสนฺตีหํ เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่อ
สกุลา.
ได้ยินว่า พระเถรีชื่อสกุลาองค์นี้เกิดเป็นราชธิดาของพระเจ้าอานันท-
ราช ในพระนครหังสวดี ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามปทุมุตตระ
เป็นภคินีต่างพระมารดาของพระศาสดา มีนามว่า นันทา เธอรู้ความแล้ว วัน
หนึ่งฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่ง
ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุณีผู้มีตาทิพย์ เกิดอุตสาหะกระทำกรรมคือการกระ
ทำที่ยิ่ง ได้กระทำปณิธานปรารถนาตำแหน่งนั้นแม้เอง เธอกระทำกุศลกรรม
โอฬารมาก ตลอดชีวิตในอัตภาพนั้นเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ
อยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายนั่นแล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกัสสปะ
เกิดในตระกูลพราหมณ์ บวชเป็นปริพาชก ถือลัทธิเที่ยวไปผู้เดียวเที่ยวไปอยู่
วันหนึ่งเที่ยวภิกขาน้ำมัน ได้น้ำมันแล้ว เอาน้ำมันนั้นทำการบูชาด้วยประทีป
ตลอดคืนยังรุ่งที่เจดีย์ของพระศาสดา เธอจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์ เป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ดี ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกเท่านั้นตลอด
พุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปปาทกาลนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ กรุงสาวัตถี มีนาม
ว่า สกุลา. นางสกุลานั้นรู้ความแล้ว ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกาในคราวพระศาสดา
ทรงรับพระวิหารเชตวัน เวลาต่อมาได้ฟังธรรมในสำนักของพระเถระขีณาสพ
องค์หนึ่ง เกิดสังเวช บวชแล้วเริ่มเจริญวิปัสสนา เพียรพยายามอยู่ไม่นานนักก็
ได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
1. ขุ. 33/ข้อ 164 สกุลาเถรีอปทาน.